Site icon วีดีโอ เกษตร VDO Kaset

การปลูกมะเขือม่วง (แบบละเอียด)

การปลูกมะเขือม่วง (แบบละเอียด)

มะเขือม่วง มีประโยชน์มาก มีความกรอบอร่อย รสหวานคล้ายกับมะเขือเปราะ ต่างกันที่สีผล พันธุ์ที่ปลูกส่วนมากมีลักษณะเรียวยาว นิยมทั้งรับประทานสด และนำไปประกอบอาหาร ทั้งในทวีปอเมริกา และยุโรปที่นิยมรับประทานอย่างมาก ส่วนในเอเชียนั้น ประเทศญี่ปุ่น นิยมรับประทาน และเป็นประเทศที่เราส่งออกไปจำหน่ายมากที่สุด ส่วนประเทศไทยยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก เพราะคนไทยยังนิยมมะเขือเปราะที่มีสีเขียวมากกว่า

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ของ มะเขือม่วง
มะเขือม่วง เป็นไม้ล้มลุกอายุข้ามปี

– ลำต้น มีการแตกกิ่งมาก จนแลดูเป็นทรงพุ่มหนา สูงตั้งแต่ 50 ถึง 150 เซนติเมตร เปลือกลำต้นบาง มีสีม่วงหรือสีเขียว ส่วนเนื้อไม้ด้านใน เป็นไม้เนื้ออ่อน สีขาว เปราะหักง่าย

– ราก ประกอบด้วยรากแก้ว และรากแขนง

– ใบ เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แตกออกเป็นใบเดี่ยวๆ เรียงสลับกันบนกิ่ง ก้านใบยาวประมาณ 5 ถึง 8 เซนติเมตร กว้างประมาณ 8 ถึง 15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 ถึง 20 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ มีขนปกคลุม ขนบนใบด้านล่างหนากว่าด้านบน และมีสีเทา แผ่นใบมีเส้นกลางใบนูนสีม่วง มองเห็นได้ชัดเจน

– ดอก ออกดอกได้ทั้งแบบดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ดอกมีสีม่วง โคนกลีบ และกลางกลีบเชื่อมติดกัน ส่วนปลายกลีบแยกเป็นแฉก แต่ละกลีบมีกลางกลีบแหลม เป็นรูปสามเหลี่ยม จะบานในช่วงเช้า และบานติดต่อกันนาน 2 ถึง 3 วัน

– ผล มีทั้งแบบทรงกลมหรือเป็นรูปไข่ยาว ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และยาวได้ประมาณ 5 ถึง 30 เซนติเมตร ก้านผลมีขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 3 ถึง 8 เซนติเมตร ถัดมาเป็นกลีบเลี้ยง จำนวน 5 กลีบ หุ้มบริเวณขั้วผล ส่วนตัวผลที่มีลักษณะเรียวยาว จะเรียวเล็กบริเวณใกล้ขั้วผล และขยายใหญ่ที่ท้าย เปลือกผลมีสีม่วงทั่วทั้งผล และเป็นสีม่วงตลอดอายุของผล เปลือกค่อนข้างหนามาก และติดเป็นส่วนเดียวกันกับเนื้อผล

– เมล็ด กลม และแบนราบ ขนาดเมล็ดประมาณ 2 ถึง 3 มิลลิเมตร เมล็ดในผลอ่อนจะมีสีขาว เมื่อผลแก่เปลือกเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาลอ่อน

สายพันธุ์ มะเขือม่วง
พันธุ์มะเขือม่วงที่นิยมปลูก ได้แก่ มะเขือม่วงพันธุ์ตะวันตก มะเขือม่วงยาวของจีน และมะเขือม่วงพันธุ์ญี่ปุ่น ได้แก่

พันธุ์ผลกลม เช่น Toska, Black King
พันธุ์ผลกลมรี เช่น Beauty, Dusky, Epic, Black Enorma
พันธุ์ผลยาว เช่น Ichiban, Little Finger, Vernal

พันธุ์ที่นิยมปลูกในไทย
1. พันธุ์ผลกลมหรือรูปไข่รี : ผลมีลักษณะกลม คล้ายหยดน้ำ หรือเป็นรูปไข่รี ก้านผลมีสีเขียว แต่ผลมีสีม่วง

2. พันธุ์ผลผอมยาว : ผลมีลักษณะผอมยาว มีสีม่วงหรือสีดำ

*** ขั้นตอน การปลูกมะเขือม่วง ***

การเพาะกล้า

การเพาะในแปลงเพาะ
– ให้ไถพรวนแปลง กว้างประมาณ 1 เมตร ยาวตามปริมาณที่ต้องการเพาะ

– โรยรองพื้นด้วยปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก คลุกผสมดินให้เข้ากัน จากนั้น หว่านเมล็ด และคราดเกลี่ยหน้าดินกลบเล็กน้อย แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

การเพาะในถาดเพาะกล้า

– ให้ผสมดินด่วนร่วนร่วมกับปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1 ต่อ 3 หรือใช้วัสดุอินทรีย์อื่นผสมร่วม เช่น แกลบดำ และขุยมะพร้าว

– หยอดเมล็ดลงหลุมกระบะ 2 เมล็ด ต่อหลุม เกลี่ยดินกลบเล็กน้อย

– รดน้ำให้ชุ่มเมื่ออายุต้นกล้าได้ประมาณ 10 ถึง 15 วัน หรือมีใบจริงแล้ว 3 ถึง 5 ใบ จึงย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลง

การเตรียมแปลงปลูก
– แปลงปลูกควรเตรียมแปลงด้วยการไถพรวนดิน 2 รอบ เพื่อพลิกหน้าดิน และตากไว้ 7 ถึง 10 วัน ***ก่อนไถรอบที่ 2 ให้หว่านรองพื้นด้วยปุ๋ยคอก อัตรา 3 ถึง 4 ตัน ต่อไร่***

– กำจัดวัชพืชออกให้หมด

– ไถยกร่อง (หรือไม่ไถยกร่องก็ได้ ระยะห่างของร่องประมาณ 80 ถึง 100เซนติเมตร

การย้ายกล้า และการปลูก
– การปลูกมะเขือม่วง นิยมปลูกช่วงต้นฤดูฝน จนถึงก่อนถึงปลายฤดูฝน แต่ถ้าอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล

– ขุดหลุมปลูก ลึกประมาณ 8 ถึง 15 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถวสำหรับไถยกร่องหรือไม่ยกร่อง ประมาณ 80 ถึง 100 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมหรือต้น ประมาณ 80 ถึง 100 เซนติเมตร

– การย้ายกล้าปลูก ให้รดน้ำจนชุ่มก่อน และลงปลูกหลังย้ายทันที

– นำกล้ามะเขือลงปลูก กลบโคนต้น และรดน้ำให้ชุ่ม

การให้น้ำ
หลังการปลูก 10 ถึง 15 วันแรก ควรให้น้ำทุกวันๆ ละ 1 ครั้ง ในช่วงเช้า จนต้นตั้งตัวได้ จากนั้น ลดเหลือ 3 ถึง 4 ครั้ง ต่อสัปดาห์

การใส่ปุ๋ย
– ให้ใส่ปุ๋ย 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกหลังปลูก 20 ถึง 25 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอก 2 ถึง 3 กำมือ ต่อต้น

– ครั้งที่ 2 ใส่เมื่ออายได้ประมาณ 45 ถึง 50 วัน

การกำจัดวัชพืช
อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง จนต้นมีอายุได้ ประมาณ 3 เดือน จึงปล่อยตามธรรมชาติ

การป้องกันและแก้ไข โรคและแมลงศัตรูมะเขือม่วง
อ่านบทความ โรคมะเขือ และบทความ แมลงศัตรูมะเขือม่วง

การเก็บเกี่ยวผลผลิต
มะเขือม่วงมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 45 ถึง 60 วัน หลังปลูก และเก็บผลได้ต่อเนื่องนาน 4 ถึง 5 เดือน ทั้งนี้ ควรใช้กรรไกรตัดขั้วผลแทนมือเด็ด เพื่อป้องกันยอดเสียหาย และลำต้นถอน

ประโยชน์มะเขือม่วง
– ผลมะเขือม่วง ใช้รับประทานสดคู่กับอาหาร เช่น น้ำพริกปลาทู ลาบ ซุบหน่อไม้ และส้มตำ เป็นต้น

– มะเขือม่วง ใช้ประกอบอาหาร เช่น แกงมะเขือ ผัดมะเขือ และบาร์บีคิว เป็นต้น

– เศษจากส่วนผล และลำต้นใช้ทำน้ำหมักชีวภาพ

– ลำต้น และใบสด ใช้สุมไฟเพื่อรมควันไล่เหลือบ ยุง

– ผลมะเขือใช้เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสุกร ด้วยการต้มรวมกับเศษผักอื่น หรือให้แบบสด

คุณค่าทางโภชนาการ ของ มะเขือม่วง
โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, ใยอาหาร, น้ำตาล, แคลเซียม, เหล็ก, แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม , โซเดียม, สังกะสี, วิตามิน ซี , ไทอะมีน, ไรโบฟลาวิน, ไนอะซีน, วิตามิน บี 6, โฟเลต, วิตามิน บี 12, วิตามิน เอ, วิตามิน อี, วิตามิน ดี, วิตามิน เค, กรดไขมันอิ่มตัว, คอเลสเตอรอล และคาเฟอีน

สรรพคุณมะเขือม่วง

ผล
– ช่วยบรรเทาอาการไข้
– ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคในลำไส้
– บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย
– ช่วยบำรุงเลือด
– ช่วยบำรุงหัวใจ
– รักษาต่อมน้ำนมอักเสบ
– ช่วยขยายเส้นเลือด
– ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
– ป้องกันโรคอัมพาต
– ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
– ช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ
– ช่วยลดระดับความดันเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
– ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– ช่วยกระตุ้นการเผาพลาญพลังงาน
– ช่วยขับพยาธิ

– ช่วยลดการอักเสบ
– แก้อาการร้อนใน
– ป้องกันการแข็งตัวของเลือด
– ช่วยให้แผลแห้ง และหายเร็ว
– บรรเทาปวด และลดอาการบวมของบาดแผล
– รักษาอาการเลือดออกทางทวาร
– ช่วยรักษาฝี

ใบ
– ใบสด นำมาต้มดื่ม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการร้อนใน
– น้ำต้มจากใบ แก้อาการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะออกยาก
– ใบสด นำมาบดพอกรักษาแผล แก้น้ำหนองไหล
– ใบสด ขยำให้เกิดน้ำ ใช้พอกบนแผลสด ช่วยในการห้ามเลือด
– ใบสดใช้เคี้ยวบ้วนในปาก แก้แผลอักเสบในปาก แก้เหงือกอักเสบ
– ใบสดนำมาต้มอาบ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง แก้อาการผดผื่นคัน

ราก
– รากใช้ต้มน้ำดื่ม แก้อาการเบื่อเมา
– น้ำต้มจากรากช่วยบรรเทาอาการไอ อาการเจ็บคอ ช่วยลดเสมหะ
– น้ำต้มจากราก ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
– รากสดนำมาตำบด ก่อนใช้ประคบรักษาแผลอักเสบ แผลเป็นหนอง ช่วยให้แผลหายเร็ว

แหล่งข้อมูล : www.puechkaset.com, หนังสือ แนวทาง…และแบบอย่างการเพาะปลูกสารพัดมะเขือทำเงิน สนพ. นาคา โดย อภิชาติ ศรีสอาด และ จันทรา อู่สุวรรณ

Exit mobile version