(คลิป) ทำกัปดักแมลงวันแมลงหวี่ ได้ผลเกินคาด แก้ปัญหาเรื่องแมลงหวี่กวนใจ : วีดีโอ เกษตร
- Genres:บ้านและสวน, วีดีโอทั้งหมด, เครื่องมือเกษตร+DIY
(คลิป) ทำกัปดักแมลงวันแมลงหวี่ ได้ผลเกินคาด แก้ปัญหาเรื่องแมลงหวี่กวนใจ : วีดีโอ เกษตร
ทำกัปดักแมลงวันแมลงหวี่ ได้ผลเกินคาด แก้ปัญหาเรื่องแมลงหวี่กวนใจ
วิธีการทำกับดักแมลงหวี่จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ไปดูคลิปด้านบนได้เลยจ๊า
+++ ความรู้เพิ่มเติม +++
แมลงหวี่
แมลงหวี่ เป็นแมลงขนาดเล็ก มีมากกว่า 1500 ชนิด บางชนิดอาศัยตามบริเวณที่มีเศษอาหาร และอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ และเป็นชนิดที่นำใช้ในการศึกษาทางพันธุศาสตร์ บางชนิดอาศัยในแปลงเกษตรสร้างความเสียหายแก่พืชพรรณ
แมลงหวี่สีดำหรือแมลงหวี่สีน้ำตาล (Drosophila melanogaster)
เป็นชนิดแมลงหวี่ที่อาศัยใกล้ชิดกับมนุษย์ ลำตัวมีสีดำหรือสีน้ำตาล ปีกบางใส มีตาสีแดงส้ม ชอบอาศัยตามแหล่งเศษอาหาร เศษพืชผัก ผลไม้ เป็นแมลงหวี่ที่ถูกใช้เพื่อการศึกษาทางพันธุ์ศาสตร์
อนุกรมวิธาน
• Phylum : Arthropoda
• Class : Insecta
• Order : Diptera
• Superfamily : Drosophilidae
• Famaly : DROSOPHILA
• Species : Drosophila melanogaster
แมลงหวี่ถูกนำมาใช้เป็นสัตว์ทดลองทางด้านพันธุศาสตร์ ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1910 โดย Thomas Hunt Morgan ที่นำแมลงหวี่มาเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเพื่อศึกษาตำแหน่งของยีนบนโครโมโซม ต่างๆ โดยการศึกษาลักษณะการถ่ายทอดพันธุกรรมต่างๆ อาทิ ตา และปีก สาเหตุที่นิยมใช้แมลงหวี่ทางด้านพันธุศาสตร์ เนื่องจากเป็นแมลงที่มีขนาดเล็ก มีวงจรชีวิตสั้น ให้ลูกมาก จำนวนโครโมโซมน้อย เลี้ยงง่าย และเลี้ยงในพื้นที่จำกัดได้ดี
โครโมโซมแมลงหวี่
แมลงหวี่ มีโครโมโซม 4 คู่ โครโมโซมคู่ที่ 1 เป็นโครโมโซมเพศ แบ่งเป็นเพศเมีย XX และเพศ XY โดยโครโมโซม X มีรูปร่างเป็นแบบสับเมตาเซนทริก (submetacentric) มีขนาดใหญ่ ส่วนโครโมโซม Y มีรูปร่างแบบสับเมตาเซนทริก (submetacentric) มีขนาดเล็ก และบนโครโมโซม Y ส่วนใหญ่เป็นเฮเทอโรโครมาทิน (heterochromatin) ดังนั้น บนโครโมโซม Y จึงมียีนน้อย ส่วนโครโมโซมที่เหลือจะเป็นโครโมโซมร่างกาย (autosomal chromosome) โดยโครโมโซมคู่ที่ 2 และ 3 มีรูปร่างเป็นแบบเมตาเซนทริก (metacentric) ขนาดใหญ่ ขณะที่โครโมโซมคู่ที่ 4 เป็นแบบอโครเซนทริก (acrocentric) และมีขนาดเล็ก (Rubin, 1988)(3)
วงจรชีวิตแมลงหวี่
1. ระยะไข่
ไข่มีรูปร่างรีหุ้มด้วยเยื่อบางๆ แต่แข็ง เรียกว่า รก (chorion) มีก้านยื่นออกมาด้านหน้า เรียกว่า ฟิลาเมนต์ (filament) ทำหน้าที่พยุงไข่ไม่ให้จมลงในอาหาร แมลงตัวเมียจะเริ่มวางไข่หลังออกจากดักแด้ 2 วันซึ่งสามารถวางไข่จำนวนสูงสุดถึง 400-500 ฟอง ในช่วงระยะเวลา 10 วัน
2. ระยะตัวหนอน
ไข่ปฏิสนธิแล้วจะพัฒนาไปเป็นตัวหนอนใช้เวลา 1 วัน ตัวหนอนมีสีขาว ลำตัวเป็นปล้อง มีส่วนปากเป็นสีดำ ผิวหนังประกอบด้วยชั้นของคิวตินจึงยืดหยุ่นไม่ได้ ตัวหนอนจะออกจากไข่ ในระยะที่เป็นตัวหนอน และมีการลอกคราบ 2 ครั้งเพื่อขยายขนาด แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
– หนอนระยะที่ 1 ตั้งแต่ออกจากไข่จนลอกคราบครั้งที่ 1
– หนอนระยะที่ 2 ตั้งแต่ตัวหนอนออกจากคราบครั้งที่ 1 จนถึงตัวหนอนลอกคราบครั้งที่ 2
– หนอนระยะที่ 3 ตั้งแต่ตัวหนอนออกจากคราบครั้งที่ 2 จนกระทั้งเข้าดักแด้ ใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน
3. ระยะดักแด้
เมื่อตัวหนอนจะเข้าดักแด้ ตัวหนอนจะคลานไปอยู่ที่แห้งๆ รูปร่างของตัวหนอนจะหดสั้นลง ผนังลำตัวจะแข็งขึ้นกลายเป็นดักแด้ จากนั้นจะมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆ อาทิ ตา ปีก ขา ใช้เวลาในการเข้าดักแด้อีก 4 วันจึงเจริญเป็นตัวเต็มวัย
4. ระยะตัวเต็มวัย
เมื่ออวัยวะต่างๆ พัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว แมลงก็จะออกมาจากคราบดักแด้ทางปลายด้านหน้า แมลงที่ออกมาใหม่ๆ ลำตัวจะมีสีอ่อน ปีกยังไม่แผ่ และส่วนท้องค่อนข้างยาว เมื่อโตเต็มที่ลำตัวจะมีสีน้ำตาลหรือสีดำ ปีกใส ส่วนท้องมีลายคาดสีดำ ตามีสีแดงส้ม แมลงหวี่สามารถพร้อมผสมพันธุ์หลังออกจากดักแด้แล้ว 10 ชั่วโมง แมลงหวี่ตัวเมียจะวางไข่หลังจากออกจากดักแด้ 2 วัน โดยตัวเมียสามารถวางไข่ได้ 700 ใบ ในช่วงอายุขัย แมลงหวี่มีอายุขัยประมาณ 4 สัปดาห์ แมลงตัวเมียสามารถผสมพันธุ์กับตัวผู้ได้มากกว่า 1 ตัว และสามารถเก็บน้ำเชื้อที่ได้จากการผสมหลายๆครั้งได้
การขยายพันธุ์ของแมลงหวี่เกิดจากแมลงเพศผู้จับคู่ผสมพันธุ์และถ่ายทอดน้ำเชื้อให้กับแมลงเพศเมีย จากนั้นน้ำเชื้อจะรอคอยเวลาที่จะเข้าผสมกับไข่ที่สุกเต็มที่และเจริญเติบโต ต่อไปจนกลายเป็นเป็นแมลงตัวเต็มวัย ส่วนอาหารของแมลงหวี่จะเป็นเศษอาหาร ผักหรือผลไม้ชนิดต่างๆ โดยใช้ปากดูดกินน้ำจากเศษอาหาร
ที่มา Youtube Channel : ชาวสวน ยุคใหม่
คลิป : https://www.youtube.com/watch?v=BgP4tiv0o1o