(คลิป) วิธีเพาะผักสลัดแบบเมล็ดเคลือบ งอก 100% : วีดีโอ เกษตร
วิธีเพาะผักสลัดแบบเมล็ดเคลือบ งอก100%|grow|life in countryside|เกษตรสุขกลางกรุง
ข้อแตกต่างระหว่างเมล็ดผักแบบเคลือบและแบบไม่เคลือบ
1. เมล็ดผักแบบไม่เคลือบ
เมล็ดผักประเภทนี้จะผ่านการลดความชื้นมาแล้ว สามารถเก็บรักษาในตู้เย็นได้นาน ประมาณ 1 – 2 ปี
และมีราคาถูกกว่าเมล็ดผักแบบเคลือบค่อนข้างมาก การเพาะเมล็ดผักแบบไม่เคลือบนี้แนะนำให้กระตุ้นการงอกโดยใช้กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท
รองด้านในด้วยกระดาษชำระประมาณ 2 ชั้นแล้วพรมน้ำให้กระดาษเปียก และเทน้ำออก จากนั้นให้นำเมล็ดผักสลัดมาโรยลงบนกระดาษชำระ โดยไม่ต้องพรมน้ำซ้ำ
แล้วปิดฝากล่องให้สนิท (แนะนำให้นำไปวางไว้ในที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ห้องปรับอากาศ) ประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง เมล็ดผักจะเริ่มงอกให้ย้ายลงวัสดุปลูกได้เลย
อย่าปล่อยให้เกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) เพราะรากผักจะยาวเร็วมากและทำให้ย้ายปลูกได้ยาก การกระตุ้นการงอกด้วยวิธีนี้จะทำให้เมล็ดผักที่เราเพาะมีเปอร์เซ็นต์
การงอกและความสม่ำเสมอของการงอกสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่จะเข้าทำลายเมล็ดผักจากการเพาะเมล็ดผักลงวัสดุปลูกโดยตรง
ให้ผักที่ปลูกมีความสม่ำเสมอของต้นที่เท่ากัน มากกว่าการเพาะลงในวัสดุปลูกโดยตรง เนื่องจากการเพาะลงวัสดุปลูกโดยตรงนั้นเมล็ดผักมีความเสี่ยง
ที่จะถูกทำลายโดยเชื้อโรคหรือแมลง อีกทั้งผู้ปลูกยังควบคุมปัจจัยการงอกของเมล็ดได้ยากกว่าด้วย
2. เมล็ดผักแบบเคลือบ
เมล็ดผักชนิดนี้จะถูกคัดเลือกมาจากเมล็ดที่สมบูรณ์ แล้วนำมาเคลือบด้วยแป้งหรือดินเหนียว (Pelleted seed)
เพื่อเป็นการรักษาสภาพของเมล็ดผักเอาไว้ ข้อดีของการใช้เมล็ดผักแบบเคลือบก็คือ สะดวกในการเพาะเมล็ดผักเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้น
วัสดุที่หุ้มเมล็ดผักยังช่วยนำพาความชื้นสู่เมล็ดผักได้อย่างทั่วถึงทั้งเมล็ด ทำให้ผู้ปลูกสามารถเพาะลงวัสดุปลูกได้โดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยการงอก
ที่ไม่สม่ำเสมอของการเพาะเมล็ดผักลงได้ ส่วนข้อเสียของเมล็ดผักแบบเคลือบนี้คือ มีราคาแพง และมักพบปัญหาเมล็ดผักเสื่อมสภาพเร็วหากเก็บรักษาไม่ถูกวิธี
(ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา 4 – 7 องศาเซลเซียส) การเพาะเมล็ดผักแบบเคลือบหากฝังเมล็ดผักในวัสดุปลูกลึกเกินไปก็ทำให้เมล็ดผักเน่า หรือถ้าหากตื้นเกินไป
ก็ทำให้เมล็ดผักได้ความชื้นไม่เพียงพอก็ทำให้ไม่งอกเช่นกัน สำหรับเมล็ดผักแบบเคลือบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ลูกผสม หรือ Hybrid F1 ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์
ให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพและผลผลิตสูงกว่าเมล็ดผักพันธุ์ดั้งเดิมเพื่อให้ได้ตรงกับความต้องการของตลาด ด้วยต้นทุนการผลิตเมล็ดผักเคลือบที่สูงทำให้เมล็ดผักแบบเคลือบ
นี้มีชนิดและสายพันธุ์ของผักให้เลือกค่อนข้างน้อย
การเลือกใช้เมล็ดผักแต่ละชนิด จึงควรเลือกให้เหมาะกับเรามากที่สุด กล่าวคือหากเราปลูกเพื่อรับประทานเอง ซึ่งใช้เมล็ดผักในการปลูกไม่มาก ก็ให้เลือกใช้เมล็ดแบบไม่เคลือบก็พอ
เนื่องจากเก็บได้นาน, ราคาถูก มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก แต่หากต้องการปลูกเพื่อเป็นการค้าและต้องปลูกเป็นจำนวนมากเพื่อลดขั้นตอนการเพาะเมล็ดก็สามารถเลือกใช้เมล็ดผักแบบเคลือบแทน
แต่ทั้งนี้ผักที่ปลูกจะมีคุณภาพทั้งทางด้านรูปลักษณ์, สีสรร รวมถึงน้ำหนัก จะดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และปัจจัยอื่นๆ ในการปลูกประกอบด้วยเป็นสำคัญ บทความ Allkaset
รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ไปดูคลิปกันได้เลย…
ฝากกดไลค์ กดแชร์ ติดตามช่องได้ที่ 👇
ที่มา Youtube Channel : เกษตรสุข กลางกรุง
คลิป : https://www.youtube.com/watch?v=AeaEtm3gGl0